วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วัฒนธรรมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส)

วัฒนธรรมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส)


  



     วัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นอาจจะมีความแตกต่างกัน หรือในบางท้องถิ่นอาจจะคล้ายคลึงกัน มีการผสมผสานกัน เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีการติดต่อกับโลกภายนอก  ต่างกลุ่ม ต่างชาติพันธุ์  ต่างศาสนา  วัฒนธรรมย่อมมีการรับและการถ่ายทอดซึ่งกันและกัน จึงก่อให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม  ดังที่ ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ (2523 :4-9) ได้กล่าวถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของดินแดนภาคใต้สรุปได้ว่า ดินแดนภาคใต้เดิมเป็นที่ตั้งของชนพื้นเมืองพวกนิกริโต เนื่องจากภาคใต้มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ต่อมาจึงมีผู้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ปะปนกับชน  กลุ่มเดิมได้แก่ พวกมลายู เขมร มอญ ไทย และจีน เป็นต้น เมื่อมีการติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้นคนเชื้อสายอื่นๆ ก็เข้ามาตั้งถิ่นฐานมากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ จึงก่อให้เกิดการสั่งสมวัฒนธรรมต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 6-7 ชาวอินเดียได้เดินทางมาติดต่อค้าขายและได้นำเอาศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมต่างๆ เข้ามาเผยแพร่ด้วย ดินแดนภาคใต้จึงได้รับเอาวัฒนธรรมตามแบบอย่างอินเดียหลายอย่าง และในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จีน อาหรับ ชวา ก็ได้เดินทางมาค้าขายกับดินแดนทางภาคใต้ จึงทำให้วัฒนธรรมของพวกอาหรับและจีนมีอิทธิพลต่อชนชาวภาคใต้  ดังนั้นวัฒนธรรมภาคใต้จึงมีทั้งแบบดั้งเดิมของชาวพื้นเมือง คือการนับถือผีสางนางไม้ การนับถือผีบรรพบุรุษ และวัฒนธรรมใหม่ที่รับเข้ามา คือการนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ตามแบบอย่างของอินเดีย และนับถือศาสนาอิสลามตามแบบอย่างชาวอาหรับ จึงกล่าวได้ว่าภาคใต้เป็นแหล่งที่มีรากเหง้าของวัฒนธรรมมาจากอดีตอันยาวนาน

อาหาร เอกลักษณ์ ของมุสลิม ใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้

อาหาร เอกลักษณ์ ของมุสลิม ใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้


ไก่ฆอและ

ไก่กอและ หรือ ไก่ฆอและ เป็นอาหารมลายูปักษ์ใต้และมาเลเซีย เมนูนี้เป็นอาหารที่ชาวมุสลิมแถบชายแดนใต้ของไทยทำรับประทานกัน โดยเฉพาะที่ปัตตานีจะมีชื่อเสียงมาก บางแห่งจะทำไก่ฆอและขายคู่กับข้าวหลามด้วย ไก่กอและในภาษามลายูปาตานีจะ อ่านว่า "อาแยฆอและ" (Ayam Golek) คำว่า อาแย (Ayam) แปลว่าไก่ ฆอและ (Golek) แปลว่า กลิ้ง อาแยฆอและ จึงแปลว่า ไก่กลิ้ง ก็น่าจะหมายถึงการย่างเพราะต้องคอยพลิกกลับไปมา นอกจากจะใช้ไก่ทำแล้ว ยังสามารถใช้เนื้อสัตว์อื่น ๆ ทำได้ ถ้าใช้หอยแครงสดทำ เรียกว่า "กือเปาะห์ฆอและ" ใช้ปลาทำ เรียกว่า "อีแกฆอและ" ถ้าใช้เนื้อทำ เรียกว่า "ดาฆิงฆอและ"

แกงมัสมั่น

แกงมัสมั่น เป็นอาหารประเภทแกงที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารมลายู ชาวไทยมุสลิมเรียกแกงชนิดนี้ว่า ซาละหมั่น แกงมัสมั่นแบบไทยออกรสหวานในขณะที่ตำรับดั้งเดิมของชาวมุสลิมออกรสเค็มมัน แกงมัสมั่น แบบชาวมุสลิมปักษ์ใต้ ต่างจากการปรุงแกงมัสมั่นของชาวไทยภาคกลางคือ จะไม่ทำเป็นน้ำพริกแกงมัสมั่น แต่จะผสมลูกผักชีป่น ยี่หร่าป่น พริกป่นอินเดียและพริกไทยป่นไว้เป็นผงเครื่องแกง จากนั้นจึงนำลงไปผัดกับน้ำมันที่เจียวหัวหอมแล้ว ส่วนแกงมัสมั่นแบบมลายู-ชวา จะใส่กานพลู อบเชย ลงไปผัดกับน้ำมันและหอมแดงจนหอม แล้วจึงใส่พริกป่นอินเดีย ลูกผักชีป่น ยี่หร่าป่น พริกไทยป่นลงไปผัดให้เข้ากัน นอกจากนั้นยังใส่มะพร้าวคั่ว ผงขมิ้น ดอกไม้จีนและหน่อไม้จีนด้วย 
                                             โรตีมะตะบะ
                       

 โรตีมะตะบะ เป็นอาหารขึ้นชื่อที่อยู่คู่กับชาวมุสลิม ใช้แป้งโรตีห่อไส้ไว้ภายในจะเป็นเนื้อวัว หรือเนื้อไก่ ผสมเครื่องเทศรสหอมหวานกลมกล่อม หากมองให้ดีก็จะคล้ายกับไข่ยัดไส้ เมื่อทอดเสร็จแล้วจะทานคู่กับอาจาด โรตีน้ำแกง จะเป็นแป้งโรตีธรรมดาหรือโรตีใส่ไข่ แต่ไม่ต้องใส่นมและน้ำตาล นำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำรับประทานกับน้ำแกง โรตีกล้วยหอม แบบนี้หลาย ๆ คนอาจจะเคยทานกันบ้างแล้ว คือ โรตีทอด โดยมีเนื้อของกล้วยหอมฝานผสมแล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ รสชาติจะหวานหอม แต่ไม่เลี่ยนจนเกินไป อีกแบบหนึ่งก็ คือ โรตีธรรมดาใส่ นมน้ำตาล แต่จะต่างจากที่เราทานแห่งอื่น ๆ ก็คือ โรตีส่วนใหญ่จะไม่ทอดจนกรอบ นิยมทอดแบบหนานุ่มมากกว่า

การแต่งกายของมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

การแต่งกายของมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้




        สังคมของมุสลิมแต่ละกลุ่มจะมีรูปแบบเฉพาะกลุ่มเช่นรูปแบบการกิน รูปแบบการอยู่ แต่ละกลุ่มของสังคมมุสลิมเองก็จะมีความแตกต่างกันไปตามสถานะ ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิงมุสลิม คล้ายกับการแต่งกายของชาวมาเลเซีย และชาวอินโดนีเซีย แต่ก็ไม่เหมือนกับสองชาติดังกล่าวเลยทีเดียว อาจจะได้รับอิทธิพลมาบ้างโดยสืบเนื่องมาจากทำเลที่ตั้งมีการติดต่อไปมาค้าขายการแต่งกายของชาวไทยมุสลิม จะมีหลายระดับ ส่วนมากเป็นการดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับโอกาสต่างๆ แต่คงลักษณะเด่นบางอย่างไว้ นั่นคือ ต้องมิดชิด
       ในที่นี้เราจะมาพูดถึงรูปแบบการแต่งกายของผู้หญิงมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผู้หญิงมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้เดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งกายที่มีหลากหลายรูปแบบ จะมีสีสันในการแต่งกายให้ออกมาดูแล้วสวยงามและถูกต้องตามหลักอิสลาม จะใส่เสื้อรูปแบบใดก็ตามแต่ที่ผู้หญิงมุสลิมจะขาดไปไม่ได้ก็คือ การคลุมผ้าฮิญาบจะไปที่ไหนๆถ้าเห็นผู้หญิงคลุมผ้าฮิญาบ ก็จะรู้เลยว่าเป็นผู้หญิงมุสลิมเพราะเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงมุสลิม 
       เมื่อก่อนผู้หญิงมุสลิมจะใส่ชุดอะไรก็แล้วแต่ส่วนใหญ่จะเน้นสีดำหรือสีพื้นสีจะไม่ฉูดฉาดแต่สมัยนี้เมื่อมีการพัฒนาเกิดขึ้นอะไรๆก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามๆ กัน เวลาจะไปไหนมาไหนก็จะแต่งตัวกันหลากหลาย จะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่มีสีฉูดฉาด แต่งตัวกันตามกระแสนิยมเช่นจะไปซื้อของ เดินช็อปฯ หรือไปไหนก็แล้วแต่ ที่ไกลจากบ้านก็จะสวมใส่เสื้อผ้าที่มีความโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเสื้อแฟชั่นต่างๆ และกางเกงหรือบางคนก็จะใส่กระโปรง ใส่ชุดกุรง/มินิสกุรงหรือใส่ชุดอะบายะแล้วแต่สไตล์แต่ที่ขาดไม่ได้คือผ้าคลุมฮิญาบที่มีสีเดียวกับเสื้อเพราะใส่แล้วจะได้ดูเข้ากัน แต่บางกลุ่มคนที่มีความเคร่งครัดก็จะใช้ผ้าปิดหน้าด้วย และถ้าวันสำคัญๆของชาวมุสลิมเช่นวันรายอ วันงานมงคลสมรส ฯลฯ ผู้หญิงมุสลิมก็จะสวมใส่ชุดที่มีความโดดเด่นหน่อยซึ่งมีความอลังการ ส่วนวันธรรมดาอยู่บ้านก็จะใส่เสื้อปกติเช่นเสื้อยืด ผ้าโสร่ง และผ้าคลุมผมผืนยาวๆ เป็นผืนสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ต้องใช้เข็มมากลัดอะไรมากนัก ผ้าคลุมฮิญาบของผู้หญิงมุสลิมก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป อยู่ที่คนจะซื้อ ราคาของผ้าคลุมถ้าปักกับจักรต่างๆ ก็จะอยู่ที่ราคาประมาณ 200 บาทขึ้นไปแต่ถ้ามีการใส่เพชรและปักดอกหลายๆสีหรือแบบอลังการก็จะอยู่ที่ราคาหลักพัน

       เดือนรอมฎอนของศาสนาอิสลามถือว่าเป็นเดือนอันประเสริฐของศาสนาอิสลามนอกจากเป็นเดือนที่สร้างบุญกุศลแล้วยังเป็นเดือนที่ผู้หญิงได้มีรายได้กันมากมายเลยทีเดียว โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นช่างรับตัดเย็บเสื้อผ้าและผ้าคลุมฮิญาบ เพราะผู้หญิงมุสลิมพอถึงเดือนรอมฎอนก็จะแห่กันไปตัดเย็บเสื้อผ้าและผ้าคลุมฮิญาบ กันจนถึงขนาดต้องมีการจับจองร้านบ้างเพราะถ้าไม่จองก็จะไม่มีชุดรายอใส่เพราะช่างเค้าก็รับจำนวนจำกัด จากการสอบถามยอดเงินที่ได้จากการตัดเย็บเสื้อผ้าตลอดทั้ง30วันของเดือนรอมฎอนนี้บางบ้านก็จะมีรายได้ถึง 80,000 บาท บางบ้านก็ได้ 100,000 บาทแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าก็แทบจะไม่ได้พักผ่อนกันเลยทีเดียว เพราะเพื่อความสวยงามของลูกค้าจะทำให้ชุดออกมาสวยงามและเพื่อให้ลูกค้าประทับใจก็ต้องทำให้ดีที่สุด

สถานที่ท่องเที่ยวใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้

หาดตะโละกาโปร์


หาดตะโละกาโปร์ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอยะหริ่ง ข้ามคลองยามูตามสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ ผ่านพื้นที่สวนป่าชายเลนและหมู่บ้านไปจนถึงทางแยกเข้าสู่หาด รวมระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี เคยประกวดแหล่งท่องเที่ยว 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ได้ที่ 2 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ประจำปี 2529 หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล มีเรือกอและของชาวประมงจอดอยู่เป็นจำนวนมาก หาดทรายแห่งนี้งอกยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะเกิดจากกระแสน้ำพัดเอาตะกอนทรายมาทับถมพอกพูน เหมาะแก่การไปนั่งพักผ่อนชมความสวยงาม มีทิวสนและต้นมะพร้าวให้ความร่มรื่นสวยงาม


                                                                       บ่อน้ำร้อนเบตง
         



 บ่อน้ำร้อนเบตง ได้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งของเบตงที่มีน้ำพุเดือดขึ้นมาจากพื้นดินในหมู่บ้านจะเราะปะไร ตำบลตาเนาะแมเราะ ก่อนถึงอำเภอเบตง 5 กิโลเมตร บนทางหลวงหมายเลข 410 มีทางแยกขวาไปอีก 8 กิโลเมตร ตรงจุดบริเวณที่น้ำเดือดสามารถต้มไข่สุกภายใน 7 นาที มีบริการห้องอาบน้ำแร่ ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำแร่จากบ่อน้ำร้อนสามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยและรักษาโรคผิวหนัง
                                                                
                                                                      มัสยิด 300 ปี ตะโละมาเนาะ
 ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เพียง 4 กิโลเมตร ทางเข้ามัสยิดแยกจากเส้นทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข      42 (สายเอเชีย 18) เส้นทางนราธิวาส-ปัตตานี ตรงทางแยกบ้านบือราแง ตั้งอยู่ที่บ้านตะโละมาเนาะ หมู่ที่ 1 ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส มัสยิดวาดิลฮูเซ็น เป็นมัสยิดเก่าแก่และมีประวัติอันยาวนาน ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่ามัสยิด 200 ปีบ้าง มัสยิด 300 ปีบ้างมัสยิดวาดิลฮูเซ็น (มัสยิดตะโละมาเนาะ : 200 ปี) ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอบาเจาะจังหวัดนราธิวาสเพียง 4 กิโลเมตร ทางเข้ามัสยิดแยกจากเส้นทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 42 (สายเอเชีย 18) เส้นทางนราธิวาส-ปัตตานี ตรงทางแยกบ้านบือราแง ตั้งอยู่ที่บ้านตะโละมาเนาะ หมู่ที่ 1 ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส


     มัสยิดวาดิลฮูเซ็น เป็นมัสยิดเก่าแก่และมีประวัติอันยาวนาน ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่ามัสยิด 200 ปีบ้าง มัสยิด 300 ปีบ้าง ตามประวัติโดยหะยีอับดุลฮามิ อูเซ็น อายุ 89 ปี ชาวบ้านเรียกว่าปะดอดูกู ได้เล่าให้ฟังว่ามัสยิดแห่งนี้ได้สร้างมาแล้ว 3 ชั่วอายุคน โดยท่านหะยีซายฮูซึ่งเป็นครูสอนศาสนาเป็นผู้ก่อสร้าง มีนายแซมะเป็นนายช่าง สันนิษฐาน ว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ.231 ลักษณะการก่อสร้าง ก่อสร้างจากไม้ตะเคียนทั้งหลัง ใช้สลักไม้แทนตะปูหรือสกรู การก่อสร้างในสมัยนั้นไม่มีเลื่อย ขวาน สิ่วแต่จะใช้บือจือตา(รูปร่างคล้ายขวาน) ตัดไม้ ใช้บันลีโยง(ลิ่ม) ผ่าไม้ ใช้บายิ (รูปร่างคล้ายจอบ) ถากไม้ให้เรียบ เสาไม้มีจำนวน 26 ต้นสี่เหลี่ยมขนาด 10X10 นิ้ว พื้นหนา 2 นิ้ว ฝาประกบหน้าต่างทำด้วยไม้ทั้งแผง แกะสลัก เป็นลวดลายต่าง ๆ ตัวมัสยิดสร้างเป็นอาคาร 2 หลังติดกันมีขนาด14.20X6.30 เมตร เฉพาะหลังที่เป็นมิหรอบ (บริเวณที่อิหม่ามนั่งละหมาด) มีขนาด4.60X5.60 เมตร
      มัสยิดแห่งนี้สร้าง แบบศิลปไทยพื้นเมืองประยุกต์กับศิลปแบบจีนและศิลปแบบมลายู ส่วนที่เด่นที่สุดของมัสยิดนี้จะอยู่ที่หลังคาอาคารหลังแรกส่วนที่เป็นมิหรอบ หลังคามี 3 ชั้น มุงด้วยกระเบี้องดินเผา หลังคาชั้นที่ 3 มีโดมเป็นเก๋งจีนอยู่บนหลังคา เป็นศิลปแบบจีนแท้ เสาจะแกะสลักเป็นรูปดอกพิกุล ในสมัยนั้นเก๋งจีนจะใช้เป็นหออะซาน(สำหรับตะโกนเรียกคนมาละหมาด) ส่วนหลังที่ 2 จะมีหลังคา 2 ชั้นมุงด้วยกระเบื้องดินเผา หลังคาชั้นที่ 2 จะมีจั่วอยู่บนหลังคาชั้นแรกมีฐานดอกพิกุลหงายรองรับจั่วหลังคาอีกชั้นหนึ่ง มีรูปแบบทรงไทย แบบหลังคา โบสถ์วัดทั่ว ๆ ไปรอบ ๆฐานดอกพิกุลหงายจะแกะสลักเป็นลายเถาว์ก้านมุมหลังคาด้านบนของอาคารทั้ง 2 หลัง ใช้ปูนปั้นเป็นลายกนก ลายเถาว์ก้าน มัสยิดแห่งนี้เป็นสถานที่ ประกอบศาสนกิจของชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามมาหลายชั่วอายุคนซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อชุมชนมาก

ประวัติผู้เขียน

ชื่อ นางสาว คอดีเยาะ    แปเฮาะอีเล
gmail : khadi.9224@gmail.com